ค่าใช้จ่ายโดยประมาณหากต้องเข้ารับการรักษาที่ประเทศญี่ปุ่น
หลายคนคงจะเคยได้ยินกันมาบ้างว่าค่ารักษาพยาบาลในญี่ปุ่นแพงเอาเรื่อง ในกรณีที่เป็นชาวญี่ปุ่นหรือเป็นผู้ที่พำนักอยู่ในประเทศญี่ปุ่น ทุกคนจะได้รับความคุ้มครองจากระบบประกันสังคมของญี่ปุ่น โดยรัฐจะเป็นผู้จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ 70% นั่นหมายความว่าผู้ป่วยรับผิดชอบเอง 30% ซึ่งช่วยแบ่งเบาภาระได้มาก ยิ่งอายุมาก ภาระที่ต้องจ่ายก็ยิ่งน้อยลงไปอีก ขณะที่นักท่องเที่ยวอย่างเรา ๆ เมื่อเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาจะต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองทั้งหมด 100%
สำหรับการตรวจวินิจฉัยโรคเพียงอย่างเดียว ประเทศญี่ปุ่นจะมีระบบประเมินค่ารักษาพยาบาลเป็น “คะแนน” ซึ่งเราจะนำคะแนนนี้ไปใช้คำนวณค่าวินิจฉัยที่ต้องจ่าย โดย 1 คะแนน = 10 เยน
สำหรับการตรวจวินิจฉัยครั้งแรก ทั้งโรงพยาบาลและคลินิกจะมีคะแนนพื้นฐานอยู่ที่ 288 คะแนน ทั้งนี้อาจมีการบวกเพิ่มแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับการรักษาในเวลาหรือนอกเวลา หรืออายุของผู้ป่วย
สำหรับการตรวจวินิจฉัยครั้งต่อไป คลินิกหรือโรงพยาบาลน้อยกว่า 200 เตียงจะอยู่ที่ 73 คะแนน หากเป็นโรงพยาบาลมากกว่า 200 เตียงจะอยู่ที่ 74 คะแนน
เราจะใช้คะแนนเหล่านี้มาคำนวณตามสูตร คะแนน × 10 เยน × เปอร์เซ็นต์ค่ารักษาที่ต้องจ่ายเอง (100% คือ 1) = ค่าวินิจฉัยที่เราต้องจ่าย
เช่น ในกรณีชาวต่างชาติที่ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองทั้งหมด จะได้ว่า 288 คะแนน × 10 × 1 = 2,880 เยน หรือประมาณ 750 บาท อย่าลืมว่านี่ยังไม่รวมถึงค่ารักษาพยาบาลจริง ๆ ซึ่งอาจแพงถึง 10,000-50,000 เยน หรือประมาณ 2,500-13,000 บาท และค่ายาที่เราต้องไปซื้อเอาเองซึ่งอาจจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 1,000 - 2,000 เยน หรือประมาณ 300-600 บาทแล้วแต่การสั่งยาของแพทย์ด้วย หากเราป่วยเป็นโรคไม่ร้ายแรงนัก ค่าตรวจโรคอาจจะไม่ต่างไปจากนี้มาก แต่หากป่วยเป็นโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน หรืออาการร้ายแรงที่ต้องใช้ห้องพักฟื้นซึ่งก็ต้องคิดตามจำนวนวันที่เราเข้ารักษาพยาบาล ราคาก็จะยิ่งสูงมากขึ้นกว่านี้อีก
อย่างในกรณีการป่วยเป็นไส้ติ่งอักเสบแล้วต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล 6-7 วัน จากข้อมูลของ Japan Medical Association เราอาจจะต้องเสียเงินถึง 300,000 เยน หรือประมาณ 78,000 บาท เลยทีเดียว
ต้องทำอย่างไรเมื่อเกิดเจ็บป่วยระหว่างเดินทางในประเทศญี่ปุ่น
แน่นอนว่าอาการเจ็บป่วยหรือเหตุฉุกเฉินมักมาแบบไม่บอกไม่กล่าว ดังนั้นเราควรเตรียมการรับมือเอาไว้แต่เนิ่น ๆ
เตรียมข้อมูลเกี่ยวกับโรคประจำตัวหรือยาที่แพ้ตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง
เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นขณะไปเที่ยว การเตรียมข้อมูลสุขภาพของตัวเองเอาไว้แต่เนิ่น ๆ จะช่วยอำนวยความสะดวกและมีความเข้าใจที่ตรงกันหากต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลในญี่ปุ่น แนะนำให้กรอกแบบฟอร์มขององค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) เกี่ยวกับประวัติการรักษาพยาบาล เอาไว้ล่วงหน้า ในนั้นเราสามารถบอกได้ว่าเราเคยป่วยอะไรมา มียาประจำตัวหรือไม่ ตั้งครรภ์อยู่หรือเปล่า รวมถึงยังมีให้กรอกภาษาที่ต้องการใช้สื่อสารกับแพทย์หากต้องเข้ารักษาตัวในญี่ปุ่นอีกด้วย ประกันเดินทางต่างประเทศ
ศึกษาสถานพยาบาลที่สามารถสื่อสารภาษาต่างประเทศได้
การเข้ารับการรักษาที่ต่างบ้านต่างเมือง สิ่งที่เป็นปัญหาคือเรื่องกำแพงภาษา แต่ก็มีสถานพยาบาลในญี่ปุ่นไม่น้อยที่มีล่ามซึ่งสามารถสื่อสารภาษาต่างประเทศได้ เช่น ภาษาอังกฤษ หรือแม้แต่ภาษาไทย ทาง JNTO ก็ได้รวบรวมลิสต์รายชื่อโรงพยาบาลที่รับชาวต่างชาติเอาไว้ด้วย เราสามารถเลือกได้ตามพื้นที่ที่เราไปเที่ยวได้เลย นอกจากนี้ยังสามารถสอบถามได้จากโรงแรมที่พัก หรือศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวก็ได้เช่นกัน
หากเกิดเหตุฉุกเฉินจริง ๆ ให้ติดต่อ 119
เมื่อเกิดเจ็บป่วยจนต้องเรียกรถพยาบาล ให้รีบติดต่อไปยัง 119 โดยด่วนเพื่อที่เราจะได้รับการรักษาได้อย่างทันท่วงที แน่นอนว่าทางเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ จึงหมดกังวลเรื่องภาษา
ประกันเดินทางเป็นสิ่งจำเป็น
ไม่ว่าจะเดินทางไปประเทศไหน ระยะสั้นหรือระยะยาว ประกันเดินทางถือว่าจำเป็นอย่างมาก เพราะจะช่วยคุ้มครองทั้งความเสียหายอันเกิดจากไฟล์ทบินล่าช้าหรือถูกยกเลิก ทรัพย์สินเสียหาย และแน่นอนว่ารวมถึงค่ารักษาพยาบาลด้วย สามารถทำได้ทั้งแบบระยะสั้น สำหรับผู้ที่เดินทางไม่กี่ครั้งต่อปี หรือแบบระยะยาว สำหรับผู้เดินทางหลายครั้งต่อปี แน่นอนว่าเมื่อเห็นค่ารักษาพยาบาลที่สูงมากในประเทศญี่ปุ่นแล้ว การทำประกันเดินทางเอาไว้จะช่วยแบ่งเบาภาระได้เป็นอย่างมาก อีกทั้งเรายังสามารถปรึกษาเรื่องการรักษาจากบริษัทประกันได้ด้วยว่าควรเข้ารักษาที่สถานพยาบาลแบบไหนอย่างไร
Comments