เคยสงสัยไหมว่าทำไมนักกีฬาวิ่งส่วนใหญ่ต้องให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายแบบ Cross Training ทั้งๆ ที่มีกล้ามเนื้อขาที่แข็งแรงอยู่แล้ว นั่นเป็นเพราะยังขาดความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อของร่างกายส่วนบน วันนี้ Fit.Friend เลยขอมาเปิดเผยเคล็ดลับของนักวิ่งมาราธอนว่า ทำไมพวกเขาจึงให้ความสำคัญกับ Cross Training ในบทความนี้เลย
อยากวิ่งให้เร็ว อย่าลืมการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ !
วิธีวิ่งให้เร็วของนักวิ่งส่วนใหญ่เคล็ดลับง่ายๆ อยู่ที่การสร้างกล้ามเนื้อ นั่นเป็นเพราะการวิ่งจะต้องใช้กล้ามเนื้อถึง 4 กลุ่ม ได้แก่ กล้ามเนื้อสะโพก, กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า, กล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง, กล้ามเนื้อน่อง ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่ช่วยให้มีการเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่ใช่ว่าจะให้ความสำคัญแค่เฉพาะกล้ามเนื้อส่วนล่างเท่านั้น เราควรใส่ใจกล้ามเนื้อส่วนบนด้วยอีกเช่นกันครับ Fit.Friend มีวิธีเสริมสร้างกล้ามเนื้อที่นักวิ่งนิยมกันมาก เรียกว่า Cross Training มาแนะนำนำกัน เพื่อช่วยให้เพื่อนๆ วิ่งได้อย่างสนุกและลดอาการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อที่อาจเกิดขึ้นได้ เทรนเนอร์ ออนไลน์
Cross Training คืออะไร?
Cross Training คือ ท่าออกกำลังกายที่ผสมผสานในการสร้างกล้ามเนื้อและคาร์ดิโอ การทำ Cross Training มีการสลับมัดกล้ามเนื้อ สลับรูปแบบวิธีการฝึก เพื่อช่วยให้คุณใช้กล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพขณะวิ่ง
ประโยชน์ของการฝึกแบบ Cross Training
ช่วยป้องกันอาการบาดเจ็บขณะวิ่ง เนื่องจากการฝึกรูปแบบนี้ เป็นการผสมผสานระหว่างการพัฒนาความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อ และการสร้างสมดุลของกล้ามเนื้อจากการที่เพื่อนๆ ออกวิ่งอยู่ในท่าเดียวนานเกินไป
ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกาย ทำให้กล้ามเนื้อมีการใช้งานผสมผสานกันขณะฝึก เพื่อนๆ จะสังเกตได้ว่าการฝึก Cross Training ไปนานๆ จะช่วยให้นักวิ่งอย่างคุณสามารถวิ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
แนะนำท่า Cross Training ที่เพื่อนๆ สามารถฝึกได้
จะเห็นได้ว่า Cross Training เป็นท่าออกกำลังกายที่นักวิ่งไม่ควรพลาดเลยครับ นอกจากการเรียนรู้วิธีวิ่งที่ถูกต้องแล้ว การสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรงก็เป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไป รู้แบบนี้แล้วอย่ารอช้า! Fit.Friend มีท่าครอสเทรนนิ่งเมาฝากกัน แต่ละท่าสามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้เลย
1. วิ่งไปข้างหน้าสลับถอยหลัง
ท่านี้จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อขาด้านหน้า และด้านหลังได้
วิ่งไปข้างหน้า 60 วินาที
วิ่งถอยหลัง 30 วินาที
ทำท่านี้ต่อเนื่องนาน 15-20 นาที
2. วิ่งสไลด์ซ้ายขวา
ปกติแล้วการวิ่งเป็นการเคลื่อนตัวไปด้านหน้า แต่ควรให้ความสำคัญกับท่านี้ เนื่องจากเป็นท่าที่ช่วยประคองร่างกายด้านข้างให้ทรงตัวได้ดี
วิ่งสไลด์ตัวไปด้านซ้าย 60 วินาที
วิ่งสไลด์ตัวไปด้านขวา 60 วินาที
ทำท่านี้ต่อเนื่องนาน 15-20 นาที
3. ทำท่า Skip และแกว่งแขน
ประโยชน์ของท่านี้คือการฝึกการทำงานร่วมกันของแขนขาและสมอง เพื่อช่วยในการรับ-ถ่ายน้ำหนัก และฝึกประสาทสัมผัส
กระโดดเขย่งแล้ววิ่งไปด้านหน้า
ทำการแกว่งแขนไปพร้อมๆ กัน
ทำท่านี้ต่อเนื่องนาน 15-20 นาที
Comments