น้ำแร่ (Mineral water) หมายถึงน้ำที่ได้จากแหล่งน้ำพุตามธรรมชาติ น้ำเหล่านี้เป็นน้ำที่สะสมอยู่ใต้พื้นดิน และผุดขึ้นมาในบริเวณตาน้ำ ซึ่งจะกลายเป็นแหล่งน้ำตามธรรมชาติ เช่น แม่น้ำ คลอง บึง หรือทะเลสาบ ขึ้นอยู่กับปริมาณของน้ำและสภาพภูมิศาสตร์โดยรอบ
เช่นเดียวกันกับชื่อ น้ำแร่นั้นเป็นน้ำที่มีแร่ธาตุผสมอยู่ ซึ่งชนิดและปริมาณของแร่ธาตุที่อยู่ในน้ำแร่นั้น อาจจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าเป็นน้ำที่ได้จากแหล่งใด แต่โดยปกติแล้ว แร่ธาตุที่สามารถพบได้บ่อยๆ ในน้ำแร่ มักจะเป็นแร่ธาตุดังต่อไปนี้
แคลเซียม (Calcium)
แมกนีเซียม (Magnesium)
ไบคาร์บอเนต (Bicarbonate)
โซเดียม (Sodium)
โพแทสเซียม (Potassium)
คลอไรด์ (Chloride)
ฟลูออไรด์ (Fluoride)
นอกจากนี้ ในน้ำแร่ก็อาจจะมีส่วนผสมของคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon dioxide) ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ทำให้มีลักษณะซ่าคล้ายกับน้ำอัดลม แต่คาร์บอนไดออกไซด์เหล่านี้มักจะถูกกำจัดออกไปในระหว่างกระบวนการบรรจุขวด ทำให้ได้น้ำแร่ที่ไม่ซ่า และมีรสสัมผัสเหมือนกับน้ำเปล่าทั่วไปนั่นเอง สั่งน้ำแร่
องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ได้ตั้งข้อกำหนดเกี่ยวกับน้ำแร่ว่า จะต้องเป็นน้ำที่มีแร่ธาตุอยู่ไม่ต่ำกว่า 250 ส่วนต่อล้าน และไม่อนุญาตให้เติมแต่งแร่ธาตุเพิ่มเติมในระหว่างการบรรจุขวด จึงจะสามารถเรียกได้ว่าเป็นน้ำแร่ธรรมชาติ
ข้อดีของการดื่มน้ำแร่
ดีต่อสุขภาพกระดูกและฟัน
ภายในน้ำแร่นั้นมักจะมีแร่แคลเซียมในปริมาณที่ค่อนข้างสูง ซึ่งแคลเซียมนี้ก็เป็นส่วนประกอบสำคัญในการดูแลรักษาความแข็งแรงของกระดูกและฟัน การดื่มน้ำแร่จึงทำให้ร่างกายของเราได้รับแคลเซียมมากขึ้น แตกต่างจากการดื่มน้ำเปล่าที่ไม่มีแคลเซียมนั่นเอง ฟลูออไรด์ที่มีอยู่ในน้ำแร่ยังสามารถช่วยปกป้องฟันได้อีกด้วย
ดีต่อสุขภาพหัวใจ
มีงานวิจัยที่พบว่า การดื่มน้ำแร่อาจสามารถช่วยลดระดับของคอเลสเตอรอล (Cholesterol) ภายในเลือด เพิ่มปริมาณของไขมันดี (HDL) นอกจากนี้ โพแทสเซียมที่สามารถพบได้ในน้ำแร่ ก็ยังอาจสามารถช่วยลดความดันโลหิต ซึ่งล้วนแล้วแต่ก็ดีต่อสุขภาพหัวใจด้วยกันทั้งสิ้น
ช่วยแก้อาการท้องผูก
น้ำแร่ที่มีแมกนีเซียมสูง อาจสามารถช่วยป้องกันและรักษาอาการท้องผูกได้ โดยการช่วยดูดซึมน้ำมาสู่ลำไส้ และช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อของลำไส้ ทำให้อุจจาระนิ่ม และขับถ่ายได้ง่ายขึ้น
Comments